วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

สินค้าแบบเดียวกัน ทำยังไงให้มันขายได้

หาสินค้าอย่างไรให้โดดเด่น



หลัง จากเราได้หาสินค้าที่จะลงขายได้จากวิธีต่างๆ จากเรื่องที่แล้วขั้นตอนต่อมาคือ มาศึกษาตลาดกันก่อนครับ อย่ารีบใจร้อนเอาลงขายทันทีวิธีก็คือเข้าไปพิมพ์ชื่อสินค้าที่เราต้องการขาย แล้วกด Search เพื่อดูก่อนว่าตอนนี้สินค้าแบบเดียวกันกับเราหรือไก ล้เคียง มีขายอยู่เยอะมั๊ย และคนอื่นเขาตั้งราคากันอย่างไรถ้าปรากฏว่ามีขายกันอยู่เยอะมาก และราคาถูกมากจนไม่น่าขาย ก็ลืมมันไปเถอะครับหาอย่างอื่นมาขายดีกว่า แต่หากว่ามีอยู่ไม่มากและราคาก็ น่าสนใจที่จะลงขายทีนี้ก็เป็นหน้าที่เราแล้วครับที่ต้องหาวิธีว่าทำอย่างไร ให้ลูกค้าสนใจสินค้าของเรา

ได้เวลาสร้างความแตกต่าง : 
สำคัญ เลยในการลงขายคือต้องนึกถึงก่อนว่าเมื่อลูกค้าเข้ามาหาซื้อของแบบนี้มันก็จะ มีรูป ราคา ชื่อสินค้าเหมือนๆ กันโผล่เรียงรายขึ้นมากันเป็นร้อยๆ รูปโดยมีของเราเป็นหนึ่งในนั้น  แล้วลูกค้าจะเลือกจากอะไร

1.      แตกต่างด้วยรูป : เหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายก่อนอื่นเราต้องดูก่อนเลยว่าคู่แข่งเราเขาถ่ายรูปแบบ ไหน มุมไหน พื้นสีอะไรสวยแค่ไหน ทีนี้ก็เป็นหน้าที่เราที่อาจจะต้องถ่ายรูปในมุมที่แปลกไป เปลี่ยนมุมเปลี่ยนสีพื้นให้โดดเด่น แตกต่างจากคนอื่น และถ่ายมาหลายๆ มุมเลือกเอามุมที่เราคิดว่าสวยสุด แตกต่างที่สุด แต่สำคัญ ต้องอย่าให้มันมีรูปร่างสีสรรค์เพี้ยนไปจากของจริง เดี๋ยวจะโดนลูกค้าคืนของโดยไม่จำเป็น

2.      แตกต่างด้วยชื่อสินค้า :  อย่าพยายามลอกชื่อคนอื่นมาแต่จงใช้ความสามารถเขียนชื่อสินค้าที่บอกตัวตน ของสินค้าให้ได้มากที่สุดแต่ใช้คำให้สั้นที่สุด อย่าเยิ่นเย้อ

3.      แตกต่างด้วยจำนวน : อันนี้เป็นอีกวิธีในการขายของให้ได้ราคาดีกว่าคนอื่นคือ คนอื่นขายกันทีละชิ้น เราอาจจะขายทีละ 3 หรือยกโหล ยกลัง ว่ากันไป ถ่ายรูปหรือทำรูปซ้ำให้เห็นจำนวนของสินค้า เลย หรือเขียนตัวใหญ่ๆ เด่นๆ เลย เช่น X12วิธีนี้หลายครั้งลูกค้าก็ชอบเพราะสะดวกและถูกกว่าการซื้อปลีกทีละชิ้น แต่ วิธีนี้เหมาะกันสินค้าที่ต้องใช้บ่อยๆ เยอะๆ นะพวกนานๆ หยิบมาดูที แบบนี้ขายไม่ออกแน่นอน

4.      แตกต่างด้วยราคา : อีกวิธีที่จะฉีกตัวออกจากตลาดแข่งขันเลยเราอาจยกระดับสินค้าเราให้ราคาสูง อย่างไม่น่าเชื่อเลยก็ได้ เพราะฝรั่งบางคนก็กลัวคุณภาพของสินค้าราคาถูกหรืออาจจะขายสินค้าให้ถูกกว่า คนอื่นเลยก็ได้ เช่นขาย 1 เหรียญแต่เอาราคาที่เหลือไปบวกอยู่ในค่าส่งก็ได้ วิธีนี้ไม่ผิดกฏอีเบย์เพราะค่าธรรมเนียมขายได้ และค่าขนส่ง อีเบย์คิด 10%  เท่ากันเลย จะเอาไว้ตรงไหนก็ไม่แปลก แต่ข้อควรระวังคือมันต้องไม่สูงเวอร์เกินไปเดี๋ยวโดนลูกค้าร้องเรียนเอา หรือของเบามาก แต่ไปเรียกค่าส่งสูงเกินก็ไม่ไหวนะครับ

5.      แตกต่างด้วยตัวสินค้าเอง : คือหาสินค้าประเภทเดียวกันแต่คนละตัวกับที่คนอื่นขายอยู่เพื่อสร้างทางเลือก ให้กับลูกค้า แบบนี้บางทีลูกค้าก็อยากลองเหมือนกันนะครับ

6.      แตกต่างไปเลย : คือหาของแปลกที่ไม่มีใครเคยขายมาเลยแบบนี้สนุก ตั้งราคาได้ตามใจชอบ และไม่ต้องกลัวคู่แข่งด้วยตัวอย่างเช่น ผมเป็นคนแรกที่เอาหนังสือสักยันต์ลงขายในอีเบย์ ซื้อมา 60 บาท แต่ผมขาย 169 USD.ค่าส่ง19.99 USD. ขายไปหลายสิบเล่ม จนกระทั่งพี่ไทยแห่มาขายตามและตัดราคาลงจนตอนนี้เหลือ19 USD. Free shipping ผมเลยเลิกขายมานานเพราะไปแข่งด้วยไม่สนุก

7.      แตกต่างจากของในประเทศ : แบบ นี้คนขายต้องขยันหาสินค้าที่แปลกแตกต่างจากของที่คนไทยขายจะได้ไม่ต้องมาสน ว่าใครจะมาขายแข่งด้วยผมว่าขายแข่งกับจีนหรือชาติอื่นยังสนุกกว่าแข่งกับไทย ด้วยกันเอง

8.      แตกต่างด้วยเนื้อหา : ศึกษาดูว่าคนอื่นทำรายการขายแบบใด เขียนรายละเอียดแบบไหน แล้วหาวิธีเขียนวิธีนำเสนอที่แตกต่างออกไป เพื่อด฿งดูดความสนใจลูกค้าที่เข้ามาดูของเรา

9.      แตกต่างด้วยการจัดส่ง : ลูกค้าบางคนก็ไม่ได้อยากรอของ30 วันเหมือนทั่วไปหรอกครับ หากเราพร้อมส่งแบบด่วนให้เขาได้(เก็บค่าส่งเอาที่ลูกค้า) แบบนี้ลูกค้าหลายรายชอบเลยโดยเฉพาะหลายคนที่ต้องการใช้สินค้านี้ด่วน

10.  แตกต่างด้วยการยินยอมให้คืนสินค้า : ส่วนใหญ่จะตั้งไว้15 วัน หากคุณสามารถขยายให้ลูกค้าได้อีกก็จะเป็นการดีครับ

11.  แตกต่างด้วย Offer : คือการยอมให้ลูกค้ามาต่อรองในการซื้อขายนั้นๆครับ แบบนี้อาจต้องเหนื่อยกับการเจรจาลูกค้า ปากเปียกปากแฉะกว่าจะขายได้ครับ

พอเท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวมีอะไรใหม่ผมจะมาเพิ่มเติมให้อีกทีนึงครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

สิบขั้นง่าย ๆ ที่ทำไม่ง่ายก่อนจะก้าวสู่ยอดขายระดับล้าน

พี่คะเห็นพี่คนนั้นคนนี้เขาขายของได้เดือนละเป็นล้านสองล้านเลย หากหนูอยากได้บ้างต้องทำยังไงคะ???? อันดับแรกเลิกบ่นครับ งานเยอะปัญหาเยอะเป็นเร...